จากจุดเริ่มต้นไอพีโอน้องใหม่ “พีซแอนด์ลีฟวิ่ง” ของ “กลุ่มผู้บริหารปูนซิเมนต์ไทย” ในการร่วมกลุ่มกันเพื่อลงทุน พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบ “บ้านป่าริมธาร”
และขยับลงทุนต่อเนื่องทำให้นับจากอดีตถึงปัจจุบันมีการพัฒนาโครงการมาแล้วรวมทั้งสิ้น 25 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 1.65 หมื่นล้านบาท!
ด้วย “จุดเด่น” ของ บริษัท พีซแอนด์ลีฟวิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ PEACE ผู้เชี่ยวชาญการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบที่มีประสบการณ์มากว่า 30 ปี หุ้นอสังหาฯ น้องใหม่ไอพีโอตัวล่าสุดมีแผนเสนอขายหุ้น IPO ไม่เกิน 84 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 20% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมด โดยมีทุนจดทะเบียน 420 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1.00 บาท คาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในไตรมาส 1 ปี 2565
การระดมทุนในครั้งนี้… มีวัตถุประสงค์นำเงินไปใช้ไปใช้ซื้อที่ดินสำหรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในบริษัท
“ประสพศักดิ์ ศิริโสภณา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท พีซแอนด์ลีฟวิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ PEACE ให้สัมภาษณ์ “หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ” ว่า การที่บริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยเสริมศักยภาพในการสร้างการเติบโตต่อไปในอนาคต โดยที่เงินที่ได้จากการเสนอขาย IPO จะนำไปใช้ในการซื้อที่ดินมาพัฒนาโครงการ โดยที่ในช่วง 1-2 ปี (2565-2566) โดยจะซื้อที่ดินในกรุงเทพฯและปริมณฑลเป็นหลัก
เนื่องจาก ยังคงเป็นทำเลที่คนมีความต้องการ (ดีมานด์) ซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นจะเริ่มมองการซื้อที่ดินในต่างจังหวัดเข้ามาเสริมเพื่อขยายตลาดในอนาคต โดยมีความสนใจเข้าไปพัฒนาในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่ก่อนหน้านี้บริษัทได้มีการพัฒนาโครงการในจังหวัดระยองมาก่อนแล้ว
เขา บอกต่อว่า หลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯแล้ววางเป้าหมายการเติบโตทั้ง“รายได้และกำไร”ในช่วง 3 ปีเป็น “เท่าตัว”จากปี 2564 และค่อยๆเติบโตต่อเนื่องในช่วง 5 ปี เนื่องจากบริษัทยังมีฐานต่ำ ดังนั้น จึงสามารถสร้างการเติบโตได้สูง โดยบริษัทมองว่าการขายที่อยู่อาศัยยังคงมีการค่อยๆเติบโตขึ้นต่อเนื่อง และฟื้นตัวกลับมาหลังจากผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19 ไปแล้ว
โดยเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจที่ค่อยๆฟื้นตัวกลับมา ทำให้บริษัทยังคงมองเห็นโอกาสในการเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ออกมาทุกปี ซึ่งยังคงเป็นโครงการแนวราบเป็นหลัก เพราะว่าในปัจจุบันสัดส่วนของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภาพรวมได้เปลี่ยนมาเป็นโครงการแนวราบมากขึ้น ซึ่งเพิ่มขึ้นมาเป็นสัดส่วน 60% จากเดิมที่ 40% และโครงการคอนโดมิเนียมได้ลดสัดส่วนมาที่ 40% จากเดิมที่ 60% ซึ่งยังคงมองว่าสัดส่วนจะยังคงเป็นแบบนี้ไปอีกหลายปี
สำหรับแผนงานในปี 2565 บริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่ 3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 3,000 ล้านบาท อยู่ใน 3ทำเล คือ เจษฎาบดินทร์, กรุงเทพกรีฑา-ร่มเกล้า และบางกรวย-ไทรน้อย ภายใต้แบรนด์cherเป็นหลัก ซึ่งเป็นไปตามแผนงานของบริษัท และเมื่อรวมกับโครงการที่บริษัทอยู่ระหว่างการขายอีก 7 โครงการ มูลค่าเหลือขายกว่า 2,000 ล้านบาท ทำให้บริษัทมีสินค้ารองรับการขายให้กับลูกค้ารวมมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท ที่รองรับการเติบโตของบริษัทหลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ และยังมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ที่มีอยู่อีก 600 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้เป็นรายได้เข้ามา
ขณะที่ในด้านต้นทุนของบริษัทถือว่ามีความการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพมาต่อเนื่อง แม้ว่าในปัจจุบันราคาต้นทุนและค่าก่อสร้างจะเพิ่มสูงขึ้น แต่การที่บริษัทมีพันธมิตรที่เกี่ยวข้องกับการผลิตที่ดีและมีการปรับกระบวนการการก่อสร้างใหม่ โดยหันมาใช้ระบบการการก่อสร้างแบบ Coventionalและการดีลกับพันธมิตรวัสดุก่อสร้างต่างๆ ทำให้บริษัทสามารถควบคุมต้นทุนการก่อสร้างได้เหมาะสม
ประกอบกับการที่บริษัทมีภาระหนี้สินที่น้อย ทำให้ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยต่ำมาก ซึ่งบริษัทมี“อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน” (D/E)อยู่เพียง 0.2 เท่า ทำให้บริษัทยังมีความสามารถในการทำกำไรในระดับที่ดีอย่างต่อเนื่อง
“หลังจากที่เราเข้าตลาดแล้ว เรามีความมั่นใจในการสร้างการเติบโตที่ต่อเนื่อง หลังจากเราได้เงิน IPO มาแล้ว ทำให้เรามีศักยภาพในการซื้อที่ดินมาพัฒนาโครงการได้เพิ่มเติมอีก ซึ่งเงินจาก IPO เรานำไปลงทุนทั้งหมด เพราะเรามีหนี้น้อยมาก ซึ่งเรามองว่าพีซแอนด์ลีฟวิ่ง จะเป็นหุ้น Growth และหุ้นปันผลที่ดีให้กับนักลงทุนไปพร้อมๆกัน”
ท้ายสุด “ประสพศักดิ์”บอกไว้ว่า แม้ว่าจะเป็นผู้พัฒนาอสังหาฯ รายเล็กในตลาด แต่ถือว่าเป็นผู้ประกอบการที่มีความเชี่ยวชาญและมีการบริหารจัดการที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง ที่สามารถสร้างการเติบโต มีการพัฒนาโครงการในทำเลที่มีศักยภาพ และตรงกับความต้องการของลูกค้า
อ้างอิง
https://www.bangkokbiznews.com/business